ความรัก - ความอบอุ่น - ความผูกพัน
ตามที่ท่านได้อ่านประวัติสกุลสีบุญเรือง (แซ่เซียว) อยู่ในเวลานี้ เป็นคำบอกเล่าของนายเซียวซองขิม สีบุญเรือง
ตามประวัติสกุลสีบุญเรือง (แซ่เซียว) แล้ว ปรากฏว่าสืบเชื้อสายมาจาก เซียวโห มหาอุปราชในครั้งสมัยพระเจ้าฮั่นโกโจ๊ว ในแผ่นดินฮั่น ประมาณราวพันเจ็ดร้อยปีล่วงมาแล้ว
แต่ในเวลานั้นสกุลแซ่เซียวอยู่ในมณฑลโฮนาน ในภาคกลางค่อนข้างเหนือของประเทศจีน แถบแม่น้ำฮวงโห ต่อมาจึงได้อพยพมาอยู่ทางภาคใต้ และในที่สุดก็มาตั้งหลักฐานภูมิลำเนาอยู่ในมณฑลฮกเกี้ยน อำเภอน่ำเจ็ง
ครั้นต่อมาถึงปลายสมัยแผ่นดินเหม็ง กลางศตวรรษที่ 17 ชาวแมนจูได้ยกทหารมารุกรานย่ำยีประเทศจีน มณฑลฮกเกี้ยน ทางฝ่ายชาวเมืองฮกเกี้ยน ซึ่งมีแต้เซ่งกง เป็นหัวหน้า ได้ทำการต่อสู้ เพื่อกู้แผ่นดินเหม็ง แต่ก็ได้พ่ายแพ้ ไม่สามารถต่อสู้ ผู้ที่มีกำลังมากกว่าได้ จึงได้อพยพถอยข้ามทะเลไปยัง เกาะฟอร์โมซา หรือไต้หวัน
ในการอพยพครั้งนี้ สกุลแซ่เซียวก็ได้อพยพติดตามไปด้วย และต่อมาชาวแมนจู ได้ยกทหารติดตามมารุกรานอีก แต้เซ่งกง ได้ทำการต่อสู้เป็นสามารถ แต่ก็ไม่สามารถทำการต่อสู้ได้อีก จึงต้องปราชัยลงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหมดหวังที่จะทำการกู้แผ่นดินเหม็งได้
สกุลแซ่เซียวจึงได้แตกแยกออกเป็นสามสาย :
สายที่หนึ่ง ได้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอแต้เอี้ย
สายที่สอง ได้ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอตงซัว ซึ่งเป็นอำเภอเดียวกันกับที่เกิดของหมอซุนยัดเซ็น ทั้งสองตำบลนี้อยู่ในมณฑลกวางตุ้ง
สายที่สาม ได้ข้ามทะเลไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่สหปาลีรัฐมะลายู จังหวัดมะละกา และต่อมาได้อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในประเทศสยาม และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น ในปี พ.ศ.2463 นายเซียวฮุดเส็ง จึงได้ไปขอนามสกุลต่อรัฐบาลสยามว่า “สีบุญเรือง” ซึ่งได้ใช้กันอยู่จนทุกวันนี้
หมายเหตุ
เนื่องจาก มีผู้สืบเชื้อสายสกุลสีบุญเรืองหลายท่านใคร่ทราบว่า เพราะเหตุใดจึงได้เอาอักษร “สี” ไม่ใช้อักษร “ศรี” นำหน้าสกุล ร.ต.ประจักษ์ สีบุญเรือง จึงได้เรียนถามคุณอาเซียวซองขิม ผู้เป็นบุตรคุณก๋งเซียวฮุดเส็ง ผู้ขอนามสกุลสีบุญเรือง และได้รับคำอธิบายว่า “เซียว” นั้น แปลว่า สวย และเป็นต้นหญ้าชนิดหนึ่งที่มีสีเขียวเรืองรองคล้ายสีเงิน เมื่อต้องแสงอาทิตย์ในยามเช้า จึงเอาคำว่า “เซียว” เป็น “สี” และเอาคำว่า “บุ้นเลี้ยง” เป็น “บุญเรือง” เนื่องจากมีบรรพบุรุษท่านหนึ่งมีนามว่า “นายเซียวบุ้นเลี้ยง” บรรพบุรุษท่านนี้ เป็นที่เคารพนับถือของบรรดาญาติพี่น้องของสกุลแซ่เซียวเป็นอย่างมาก เนื่องจากท่านเป็นคนโอบอ้อมอารีต่อญาติของท่านทุกคน ไม่ว่าจะมั่งมี หรือยากจน
นายเซียวฮุดเส็ง มีความเห็นว่า คำว่า “เซียวบุ้นเลี้ยง” เป็นมงคลนาม ท่านจึงเอาคำว่า เซียวบุ้นเลี้ยงตั้งทับศัพท์กัน คือ เซียว เป็น สี และ บุ้นเลี้ยง เป็นบุญเรือง เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันเข้า จึงเป็นคำว่า “สีบุญเรือง”
ต่อมา นายอโนทัย สีบุญเรือง ได้เล่าให้ฟังว่า นายเซียวซองอ๊วน ได้นำภาพยนตร์ได้ฉายในพระราชวังพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เป็นประจำ และพระองค์ท่านได้ตรัสถามนายเซียวซองอ๊วนว่า ทำไมถึงไม่ใช้ “ศรี” นำหน้าสกุล เพราะมีความหมายมากกว่า แต่ที่สุดก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร
เรือนปั้นหยา กระทุ่มแบน
เมื่อนายเซียวอุดติ้น สีบุญเรือง สมรสกับ นางทองคำ บุตรีของเจ้าสัวโพ คหบดีแห่งอำเภอกระทุ่มแบนนั้น ก็ได้พำนักอาศัยอยู่ ณ บ้านปั้นหยา ตำบลสวนหลวง อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร บนที่ดินผืนใหญ่ที่เจ้าสัวโพยกให้
ต่อมาเมื่อนายเซียวฮุดติ้น และนางทองคำ ถึงแก่กรรมลง ที่ดินได้ตกเป็นของนายเซียวซองลิ้ม สีบุญเรือง บุตรคนโต และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๔ กรรมสิทธิ์ตกเป็นของนายเซียวซองแป๊ะ สีบุญเรือง บุตรคนรอง
เมื่อนายเซียวซองแป๊ะ ถึงแก่กรรม นางเครื่อง สีบุญเรือง ผู้ภรรยา ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้น ๖ คน ประกอบด้วย นายประสพ สีบุญเรือง นายเอี่ยม สีบุญเรือง นายบุญช่วย สีบุญเรือง นายอุดม สีบุญเรือง นายอรุณ สีบุญเรือง และนายจำรัส สีบุญเรือง ให้ดูแลทำนุบำรุงที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เก็บดอกผลไว้ใช้จ่ายบำเพ็ญกุศลให้บรรพบุรุษ และบริจาคทานบำเพ็ญสาธารณะกุศลอื่นๆ โดยให้ถือเป็นทรัพย์กองกลางสำหรับผู้ถือนามสกุลสีบุญเรือง ตามเจตนารมณ์ของนายเซียวซองแป๊ะผู้วายชนม์
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ คณะกรรมการและผู้ถือสกุลสีบุญเรือง เห็นว่าการดำเนินการในรูปแบบคณะกรรมการนั้นไม่ยั่งยืน เห็นสมควรดำเนินการในรูปนิติบุคคล แต่เนื่องจากกฎหมายไทยมิได้บัญญัติเรื่องการก่อตั้งตรัสตีไว้ คงมีแต่การดำเนินการในรูปแบบมูลนิธิเท่านั้น ที่ใกล้เคียงกับวัตถุประสงค์เดิมมากที่สุด จึงพร้อมใจกันจัดตั้งเป็นมูลนิธิขึ้น ใช้ชื่อว่า ฮุดติ้นและทองคำสีบุญเรือง มูลนิธิ และต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น มูลนิธิสีบุญเรือง สืบมาจนถึงทุกวันนี้